ผมอธิบายได้แบบนี้นะครับ (ตามความเข้าใจส่วนตัว)
โดย ปกติการทำงานของปุ่มกดไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเครื่องโนเกียตระกูลอะไรก็ตาม หลักการทำงานจะเหมือนกันหมด ผมขอยกตัวอย่างของรุ่น 3100 นะครับ
การทำ งานของปุ่มกดนั้นจะเป็นระบบ MATRIX คือจะมีแกน ROW และแกน COL (ไมต้องจำนะครับว่า แกนไหนเป็นวงใน วงนอก เพราะถ้าเข้าใจวงจรแล้วจะเข้าใจเลย)
ซึ่งในแต่ละแกน Row และแกน Col จะมีความถี่ประจำแกนอยู่และความถี่นั้นจะไม่ซ้ำกันด้วย ( ภาพของอาจารย์นก )
ถ้าดูจากตามภาพ จะเห็นการแบ่งเส้นของแกน Row และแกน Col ชัดเจน มีความถี่ระบุมาให้ด้วย เช่น
เส้น แนวนอน เส้นที่ Row 1 จะมีเลข 1 2 3 ความถี่ 697 Hz เส้นแนวตั้ง เส้นที่ Col 1 จะมีเลข 1 4 7 * ความถี่ 1209 Hz
เส้น แนวนอน เส้นที่ Row 2 จะมีเลข 4 5 6 ความถี่ 770 Hz เส้นแนวตั้ง เส้นที่ Col 2 จะมีเลข 2 5 8 0 ความถี่ 1336 Hz
เส้น แนวนอน เส้นที่ Row 3 จะมีเลข 7 8 9 ความถี่ 852 Hz เส้นแนวตั้ง เส้นที่ Col 3 จะมีเลข 3 6 9 # ความถี่ 1477 Hz
เส้นแนวนอน เส้นที่ Row 4 จะมีเลข * 0 # ความถี่ 941 Hz
หลัก การทำงานนั้น โดยหลักแล้ว ความถี่ทั้งหมดนั้นเกิดจากตัว CPU เองเป็นตัวกำหนดความถี่ออกมาชัดเจนเลยว่า เส้น Row เส้น Col แต่ละเส้น
มี ความถี่เท่าไร โดยที่แต่ละเส้นจะมีความถี่ไม่ซ้ำกัน เมื่อเราทำการกดปุ่ม วงจรของปุ่มกดทั้งวงในและวงนอก จะมีการรวมความถี่เข้าด้วยกัน เค้าเรียกการทำงาน
แบบนี้ว่า การ Mod หรือ มอดูเลท ( การกดปุ่มทำให้วงจรวงใน ช๊อตหรือผสม กับวงจรวงนอก) เมื่อเราทำการกดปุ่มแล้ว ก็จะมีการรวมความถี่เข้าด้วยกัน เช่น
เมื่อเรากดเลข 1 ก็จะมีการรวมความถี่ของเส้น Row 1 ที่ความถี่ 697 Hz และความถี่เส้น Col 1 ที่ความถี่ 1209 ( 697+1209=1906 Hz )
เมื่อ ได้ความถี่ใหม่คือ 1906 แล้ว CPU ก็จะรับรู้ทันทีว่า เมื่อมีความถี่ 1906 แล้ว ตัว CPU จะทำการประมวลผลแล้วส่งข้อมูลการแสดงผลไปที่หน้าจอโทรศัพท์
ให้เป็นเลข 1 หรือเลขที่เรากด ผมยกตัวอย่างอีกเลขนะครับ ถ้าเรากดเลข 9 ก็จะมีการรวมความถี่ของเส้น Row 3 ที่ความถี่ 852 กับความถี่เส้น Col 3
ที่ความถี่ 1477 เมื่อรวมกันแล้ว จะได้ความถี่ 852+1477= 2329 เมื่อได้ความถี่ 2329 แล้ว CPU ก็จะทำการประมวลผลแล้ว แสดงผลเป็นตัวเลข 9
ไปที่หน้าจอโทรศัพท์
หมายเหตุ! ขั้นตอนที่ผมกำลังจะอธิบายเรื่องปุ่มกดนี้ เป็นแค่การยกตัวอย่างให้เห็นภาพเท่านั้น เพื่อที่จะให้เข้าใจง่าย
(การ Mod คือการรวมกันแบบซ้อน ไม่ได้รวมกันแล้วได้ความถี่ใหม่)
ลองดูตามภาพประกอบด้วยนะครับ
เรามาดูวงจรจริงกันเลยดีกว่า (วงจรของ โนเกีย 3100 )
ผม ยกตัวอย่างเส้นที่ Row 2 นะครับ ซึ่งจะมีเลข 1 4 7 * เส้นนี้จะเป็นวงจรเดียวกันทั้งหมด โดยที่เส้นนี้ก็จะมีความถี่ของเส้นมันเอง แล้วเส้นนี้ก็จะผ่านเข้าตัว CPU โดยตรง
ไม่ผ่านอุปกรณ์อะไรเลย แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ จะผ่าน IC ประเภทหนึ่งเรียกว่า Chip EMIF ตามภาพแรกนะครับ (1600) ทีนี้เรามาดูกันว่า เวลาเราเครื่องที่มีอาการปุ่มกดไม่ได้ เราควรตรวจ
เช็ค ในส่วนไหนก่อน (ดูตามภาพของวงจรรุ่น 3100 นะครับ) สมมุติว่า เลข 1 4 7 * กดไม่ได้ทั้ง 4 ปุ่มเลย อาการนี้สรุปง่ายครับ ในเมื่อเลข 1 4 7 * มันเป็นวงจรเดียวกัน โดยเส้นวงจรเริ่มจากเลข 1
แล้วถึงเข้า 4 7 * ตามลำดับ เมื่อกดไม่ได้ทั้ง 4 ปุ่มก็แสดงว่า เส้นมันขาดระหว่างเลข 1 และ CPU แต่ถ้ามี ชิบ EMIF มาขวางวงจรอยู่ก็แสดงว่า มันอาจจะขาดระหว่าง เลข 1 กับ ชิบ EMIF หรือขาด
ภายในวงจร EMIF หรือขาดระหว่าง ชิบEMIF กับ CPU แต่ถ้าเลข 4 7 * กดไม่ได้แค่ 3 เลข แต่เลข 1 กดได้ อาการนี้เราวิเคราะห์แบบนี้ครับ เมื่อเราดูวงจรแล้ว เรารู้แล้วว่าเลข 1 4 7 *
เป็นวงจรเดียวกัน คือเส้น Row 2 (ถ้าใครลองวัดดูแล้ว จะรู้ว่าเป็นวงใน ) ก็แสดงว่าเป็นได้แค่อย่างเดียวคือ ขาดระหว่างเลข 1 กับเลข 4 (วงใน) เราก็ทำการต่อระหว่าง วงในของเลข 1 กับวงในของเลข 4
พอเข้าใจหรือเปล่าครับ
ผม ยกตัวอย่างอีกข้อนะครับ สมมุติว่า เลข * กดไม่ได้เลขเดียวแต่ เลข 1 4 7 กดได้หมด แบบนี้วิเคราะห์ยังไงครับ อาการนี้เป็นได้ หน้าเดียวคือขาดระหว่างวงในของเลข 7 กับ
วงในของปุ่ม * แล้วมันสามารถขาดเส้นอื่นได้อีกเปล่า เราก็มาดูลายวงจรในส่วนของเส้น * ที่เป็นเส้น Col 4 (ดูภาพประกอบ) โดยที่เส้น Col 4 จะมีเลข # 0 * และก็ปุ่ม Solf Right โดยที่
เส้นนี้จะเริ่มวงจรจากปุ่ม # แล้วถึงเข้า ปุ่ม 0 * และปุ่ม Solf Right แต่โจทย์เค้ากำหนดมาแล้ว ปุ่ม * กดไม่ได้ปุ่มเดียว โอกาสขาดที่วงจร Col 4 ระหว่างเลข 0 กับปุ่ม * นั้นเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะถ้าเส้น Col 4 ขาดระหว่างปุ่ม 0 กับปุ่ม * จะส่งผลให้ปุ่ม Solf Right กดไม่ได้ด้วย เพราะฉนั้นจึงไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย ถ้าเราสรุปได้แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นได้กรณีเดียวคือ ขาดระหว่าง
ปุ่ม 7 กับปุ่ม * ของเส้น Row 2 เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น